วันจันทร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ALBUMS NAPHAT*-*

NAPHAT*-*

คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม



ประวัติความเป็นมา

มหาวิทยาลัยมหาสารคามมีแผนเปิดสอนสาขาพยาบาลศาสตร์ ในแผนพัฒนาการศึกษาระดับอุดมศึกษาระยะที่ 8 เดิมกำหนดเปิดสอนในปีพ.ศ. 2544 แต่เนื่องจากมีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะผลิตบัณฑิตสาขาพยาบาลศาสตร์ ซึ่งเป็นสาขาที่ขาดแคลน โดยเฉพาะภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีปัญหาขาดแคลน พยาบาลอย่างชัดเจน กล่าวคือ พยาบาลต่อประชากรในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีอัตราส่วน 1 : 3,653 ในขณะที่ภาคกลาง ภาคเหนือและภาคใต้ มีอัตราส่วน 1 : 1,296 - 1 : 1,775 (สำนักงานปลัดทบวงมหาวิทยาลัย, 2535) และคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้สถาบันอุดมศึกษาของรัฐ สังกัดทบวง มหาวิทยาลัยและสภากาชาดไทยให้เร่งรัดการเพิ่มผลิตบัณฑิตทางการพยาบาล ตั้งแต่ปีการศึกษา 2536 - 2542 ซึ่งคาดว่าในปี พ.ศ. 2544 จะมีอัตราส่วน พยาบาลต่อประชากรดีขึ้น แต่ยังต่ำกว่าประเทศพัฒนาอื่น ๆ สภาพการผลิตพยาบาลในแผนพัฒนาการศึกษาระดับอุดมศึกษาระยะที่ 7 สามารถเพิ่มการผลิต ได้เพียงร้อยละ 14.5 เท่านั้น ซึ่งยังต่ำกว่าความต้องการบุคลากรพยาบาลเป็นอย่างมาก (กองแผนงาน สำนักงานปลัดทบวงมหาวิทยาลัย, 2535) ในภาค ตะวันออกเฉียงเหนือมีประชากร จำนวน 1 ใน 3 ของประชากรทั้งประเทศ แต่มีสถาบันอุดมศึกษาของรัฐในสังกัดทบวงมหาวิทยาลัย ผลิตบัณฑิต ทางการพยาบาลเพียงสถาบันเดียว คือมหาวิทยาลัยขอนแก่น

ดังนั้นมหาวิทยาลัยมหาสารคาม จึงตระหนักถึงบทบาทหน้าที่ของมหาวิทยาลัยภูมิภาค ที่จะช่วยตอบสนองนโยบายของรัฐในการผลิตบัณฑิตทางการพยาบาล เพื่อมุ่งเน้นการพัฒนาสุขภาพของประชาชน ตลอดจนความเสมอภาคของประชาชน ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ในการได้รับการบริการ สุขภาพ เพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนอันเป็นพื้นฐานในการพัฒนาประเทศต่อไป ดังนั้น มหาวิทยาลัยมหาสารคาม จึงได้ขอปรับแผนพัฒนา การศึกษาระดับอุดมศึกษาระยะที่ 8 เปิดสอนสาขาพยาบาลศาสตร์ จากปี พ.ส. 2544 เป็น ปี พ.ศ. 2540 และแต่งตั้งคณะกรรมการจัดตั้งคณะพยาบาลศาสตร์ ตามคำสั่งมหาวิทยาลัยมหาสารคามที่ 1286/2538 ลงวันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2538 มี รองศาสตราจารย์ ดร.ดรุณี รุจกรกานต์ เป็นประธานกรรมการ คณะกรรมการมีหน้าที่ 1) วางแผน และกำหนดทิศทางในการเปิดสอนสาขาพยาบาลศาสตร์ และจัดตั้งคณะพยาบาลศาสตร์ 2) จัดทำหลักสูตร 3) ดำเนินการ ในเรื่องต่างที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การเปิดสอน และจัดตั้งคณะพยาบาลศาสตร์ เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและมีประสิทธิภาพ จึงทำให้เกิดหน่วยงาน ชื่อโครงการจัดตั้งคณะพยาบาลศาสตร์ขึ้น เป็นหน่วยงานหนึ่งของมหาวิทยาลัยมหาสารคามตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

ในการดำเนินการจัดตั้งคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการฝ่ายต่าง ๆ ดังนี้ อนุกรรมการฝ่ายจัดทำหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต อนุกรรมการฝ่ายวางแผนการศึกษาภาคปฏิบัติ และอนุกรรมการฝ่ายจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้ด้วยตนเองทางการพยาบาล ตามคำสั่งมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ที่ 314 / 2539 เรื่องแต่งตั้งอนุกรรมการ ลงวันที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2539 อนุกรรมการฝ่ายจัดทำหลักสูตรพยาบาล ศาสตรบัณฑิต ได้ยกร่างหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต และดำเนินการตามขั้นตอน กล่าวคือผ่านการพิจารณาจากกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ คณะกรรมการ วิชาการมหาวิทยาลัย คณะกรรมการบริหารมหาวิทยาลัย และผ่านความเห็นชอบของสภามหาวิทยาลัยเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2539 และทบวง มหาวิทยาลัยรับทราบและให้ความเห็นชอบหลักสูตรเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2540 เนื่องจากมหาวิทยาลัยได้มีการปรับปรุงข้อบังคับมหาวิทยาลัย ว่าด้วยการศึกษาระดับปริญญาตรีในปี พ.ศ. 2540 จึงได้มีการปรับปรุงหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต ในปี พ.ศ. 2541 เพื่อให้สอดคล้องกับข้อบังคับ ของมหาวิทยาลัย คือมีจำนวนหน่วยกิตรวมไม่เกิน 140 หน่วยกิต ซึ่งหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต (ฉบับปรับปรุง ปี พ.ศ. 2541) ได้ผ่านความเห็นชอบ ของสภามหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2541 และทบวงมหาวิทยาลัยรับทราบ และให้ความเห็นชอบเมื่อวันที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2542 และคณะกรรมการข้าราชการและพลเรือนรับรองและรับทราบคุณวุฒิผู้สำเร็จการศึกษาจากหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต (ฉบับปรับปรุงปี พ.ศ. 2541) เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2542 โครงการจัดตั้งคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ได้เปิดสอนหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต รุ่นแรกรับนิสิต จำนวน 33 คน เมื่อปีการศึกษา 2540 ต่อมาในภาคปลาย ปีการศึกษา 2542 ได้เปิดสอนหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต (ต่อเนื่อง) โดยรับ นิสิต จำนวน 57 คน หลักสูตรนี้ผ่านความเห็นชอบของสภามหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2542 และผ่านความเห็นชอบจากทบวงมหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2543

เนื่องจากประเทศประสบปัญหาวิกฤตทางเศรษฐกิจตั้งแต่ต้นปี พ.ศ. 2540 รัฐบาลจึงมีนโยบายไม่ให้จัดตั้งหน่วยงานใหม่ แต่สามารถจัดตั้งเป็นหน่วยงานภายใต้การกำกับดูแลของสภามหาวิทยาลัยได้ ดังนั้นอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 14(2) และ (4) แห่งพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัย มหาสารคาม ปี พ.ศ. 2538 สภามหาวิทยาลัยมหาสารคามจึงร่างระเบียบว่าด้วยคณะพยาบาลศาสตร์ ปี พ.ศ. 2541 ทำให้มีการจัดตั้งคณะพยาบาลศาสตร์ ขึ้นในมหาวิทยาลัยมหาสารคาม เป็นหน่วยงานจัดการศึกษาทำนองเดียวกับคณะดำเนินงานในรูปแบบการบริหารในลักษณะ นอกระบบราชการ ที่เน้นความคล่องตัว มีประสิทธิภาพและพึ่งตนเองให้มากที่สุด โดยมีสภามหาวิทยาลัยกำกับดูแลทำให้โครงการจัดตั้งคณะพยาบาลศาสตร์ เปลี่ยนฐานะ มาเป็นคณะพยาบาลศาสตร์ ตั้งแต่วันที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2541 เป็นต้นมา โดยมีรองศาสตราจารย์ ดร.ดรุณี รุจกรกานต์ เป็นรักษาการคณบดี คณะพยาบาลศาสตร์ จนถึงวันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2542 และรองศาสตราจารย์วลัยพร นันท์ศุภวัฒน์ ดำรงตำแหน่งรักษาการคณบดีคณะพยาบาลศาสตร์ ต่อมาจนถึง วันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2543 รองศาสตราจารย์ ดร.ดรุณี รุจกรกานต์ ได้ดำรงตำแหน่งคณบดีคณะพยาบาลศาสตร์ จนถึงปัจจุบัน

Guestbook


เม้นให้เค้าด้วยน่ะ
สร้าง Comment ง่ายๆ ด้วยตัวคุณเอง..คลิ๊กที่นี่

ก็แค่อยากโชว์

วันเสาร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2552


ณภัทร ปิ่นปั้น (กระต่าย) นิสิตชั้นปีที่ 4 คณะพยาบาลศาสตร์ รหัสนิสิต 49010410091 มหาวิทยาลัยมหาสารคาม เป็นคนจังหวัดชัยภูมิ
สร้าง Comment ง่ายๆ ด้วยตัวคุณเอง..คลิ๊กที่นี่

สู้ตายๆๆๆ
สร้าง Comment ง่ายๆ ด้วยตัวคุณเอง..คลิ๊กที่นี่

ความสุขจะเกิดกับฉันตลอดไป
สร้าง Comment ง่ายๆ ด้วยตัวคุณเอง..คลิ๊กที่นี่

แนะนำตัว


ชื่อนางสาว ณภัทร ปิ่นปั้น ใครๆก็เรียก ต่าย

กำลังศึกษาในระดับปริญญาตรี คณะพยาบาลศาสตร์ ชั้นปีที่ 4 รหัสนิสิต 49010410091

มหาวิทยาลัยมหาสารคาม

picasa




Zombie - The Cranberries

วันพุธที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ปฏิทิน

บทความน่าสน

10 วิธีล้างพิษก่อนกิน (247 freemag.com)

หลายคนสงสัย แค่จะกินก็ยังต้องล้างพิษด้วยหรือ?

ด้วยสภาพภูมิอากาศในบ้านเราเป็นแบบร้อนชื้น ซึ่งเหมาะสมต่อการเพาะพันธุ์ของเชื้อโรคต่างๆ ได้ดี ดังนั้น พอถึงฤดูร้อนทีไร โรคท็อปฮิตต่างๆ จึงออกอาละวาดกันจนแทบระวังเนื้อระวังตัวไม่ทันทุกที ยิ่งในยุคเศรษฐกิจและการเมืองตกต่ำเป็นประวัติการณ์ด้วยแล้ว คุณคงไม่อยากเสีย เงินเก็บเงินออมกับเรื่องสุขภาพเป็นแน่ ใครอยากรู้ว่าทำยังไงให้ "สุขภาพดีจัง ตังค์อยู่ครบ" อ่านด่วน

ในปีนี้ กระทรวงสาธารณสุขได้ประมวลผลสถิติทางการแพทย์พบว่า โรคที่เป็นกันมากในปีที่แล้ว และจะระบาดหนักในปี พ.ศ.2552 ได้แก่ โรคอุจจาระร่วง โรคไข้ไม่ทราบสาเหตุ 342.1 ต่อแสนประชากร และอาหารเป็นพิษ โดยมีสาเหตุหลักก็คือการเลือกกินและารทำความสะอาด ดังนั้น แนวทางสำคัญอันดับหนึ่งที่เราจะป้องกันโรคร้ายและเงินในกระเป๋ากระจัดกระจาย ก็คือการสร้างสุขอนามัยในอาหารประจำวัน และนี่คือวิธีล้างพิษก่อนกิน สำหรับคุณพ่อบ้านแม่เรือนที่จะทำความสะอาดผักผลไม้ที่ 247 ขอแนะนำ...

1. ปลอดภัยด้วยสูตรขนมปัง ใช้โซดาทำขนมปัง (โซเดียมไบคาร์บอเนต) 1 ช้อนโต๊ะผสมน้ำอุ่น 20 ลิตร (1 กาละมัง) แช่ผักทิ้งไว้ 15 ก่อนนำมาปรุงอาหาร

2. ลดสารพิษฆ่าแมลง 60-84% ใช้น้ำส้มสายชู 0.5% หรือน้ำส้มสายชู อสร. 1 ขวดผสมน้ำ 4 ลิตร แช่ผักทิ้งไว้ 15 นาที

3. ลดสารพิษฆ่าแมลง 54-63% เด็ดผักเป็นใบๆ ใส่ตะกร้าโปร่ง เปิดน้ำไหลแรงพอประมาณ ใช้มือช่วยคลี่ใบผัก ล้างนาน 2 นาที

4. ลดสารพิษฆ่าแมลง 7-33% ล้างผักรอบแรกให้สะอาด เด็ดผักออกเป็นใบๆ แช่ในอ่างน้ำนาน 15 นาที

5. ลดสารพิษ 50% ลวกผักด้วยน้ำร้อน ส่วนการต้มนั้นลดสารพิษได้ 50% เช่นเดียวกัน แต่จะมีสารพิษตกค้างในน้ำแกง จึงควรล้างผักลดสารพิษก่อนทำแกง

6. เสียปริมาณดีกว่าเสียใจ ผักที่มีกาบใบห่อหุ้มเป็นชั้นๆ เช่น กะหล่ำปลี หัวหอมใหญ่ ควรปอกเปลือกหรือลอกใบชั้นนอกออกจะสามารถช่วยลดสารพิษลงได้

7. ฆ่าเชื้อด้วยคลอรีน ผสมผงปูนคลอรีน 1/2 ช้อนชากับน้ำ 20 ลิตร แช่ผักทิ้งไว้ 15-30 นาทีจะฆ่าเชื้อโรคได้ดีมาก

8. ล้างผักด้วยน้ำยาล้างจาน ใช้น้ำยาล้างจานกับฟองน้ำถูเบาๆ ช่วยลดโอกาสติดเชื้อที่อยู่บริเวณผิวของผลไม้ได้ วิธีนี้ยังเหมาะสำหรับล้างไข่ด้วย

9. ล้างนอกล้างในผลไม้ที่กินทั้งเปลือกได้ เช่น มะเฟือง สตรอเบอร์รี่ ฝรั่ง ควรล้างหลายๆ ครั้ง ใช้แปรงขนอ่อนถูเบาๆ ให้ทั่วแล้วล้างน้ำเกลือหรือน้ำสุก ส่วนผลไม้ที่ต้องปอกเปลือกก่อนจึงกินได้ เช่น มะม่วง มะละกอ สับปะรด ควรนำมาล้างก่อน จึงค่อยปอกเปลือก เพราะถ้าไม่นำมาล้างก่อน สิ่งสกปรกบนผลไม้จะติดไปกับมือหรือมีดขณะปอกผลไม้ได้ ทำให้เนื้อผลไม้สกปรก

10. ยาสีฟันสารพัดประโยชน์ องุ่นปกติมักจะมีคราบเหมือนยางเป็นฝ้าขาวๆ ล้างยังไงก็ไม่ออก วิธีล้างให้เด็ดผลองุ่นออกจากพวงใส่ภาชนะบีบยาสีฟัน (อะไรก็ได้) พอสมควร ขยี้ให้ทั่วมือ ใส่น้ำพอสมควร แล้วล้างด้วยน้ำเปล่าจนสะเด็ดน้ำ

นอกจากนี้ยังมีการใช้ด่างทับทิม 5 เกล็ดต่อน้ำ 4 ลิตร ใช้น้ำปูนใสอิ่มตัวผสมน้ำเท่าตัว ใช้เกลือ 2 ช้อนโต๊ะผสมน้ำ 4 ลิตร และใช้น้ำซาวข้าวล้างผัก แช่ผักทิ้งไว้ ซึ่งก็ล้วนแต่ช่วยลดสารพิษอันก่อให้เกิดโรคต่อระบบขับถ่ายและลำไส้ได้ดี ใครสะดวกแบบไหนก็ใช้ได้ตามความถนัด

วิธีที่ดีที่สุดคือ เลือกที่สะดวก ปลอดภัย และให้ประสิทธิภาพในการชำระล้างสารพิษได้มากที่สุด เท่านี้...คุณก็จะมีสุขภาพดีจัง ตังค์อยู่ครบ…ขอให้มีสุขภาพดีถ้วนหน้านะคะ

เวลาการทำงานของร่างกายขณะหลับ

ทราบหรือไม่ว่าขณะหลับ เวลาไหนที่ร่างกายทำงานอะไรบ้าง วันนี้มีเรื่องนี้มาฝาก...
- สามทุ่มถึงสี่ทุ่ม
เป็นช่วงเวลาที่ร่างกายเตรียมพักผ่อน ความดันเลือดและการเต้นของหัวใจลดลง ให้ฟังเพลงช้า ๆ เบา ๆ เตรียมตัวเข้านอน

- ห้าทุ่มถึงตีสาม
เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการนอนหลับ หากไม่นอนช่วงนี้จะส่งผลกระทบต่อการทำงานตับและไม่อาจจะชดเชยด้วยช่วงเวลาการนอนที่เหลือได้ ดังนั้นจึงควรนอนหลับในช่วงเวลานี้

- ตีสามถึงตีห้า
เป็นช่วงเวลาที่ปอดทำงานเต็มที่ คนเป็นหวัดจึงมักสะดุ้งตื่นขึ้นมาไอในช่วงนี้ ก่อนนอนควรดูแลห้องให้อากาศถ่ายเท ไม่ชื้นเกินไป จะได้นอนหลับอย่างเต็มที่และไม่เป็นหวัด


- ตีห้าถึงเจ็ดโมงเช้า
เป็นช่วงที่ควรจะตื่นนอน ร่างกายจะเริ่มขับถ่ายของเสีย จึงควรดื่มน้ำอุ่นสักแก้ว ออกกำลังกายแบบเอโรบิกเพื่อกระตุ้นการขับถ่าย หากขับถ่ายคล่องทำให้ไม่มีสารพิษสะสมในร่างกายเป็นผลดีต่อสุขภาพ

- เจ็ดโมงเช้าถึงเก้าโมงเช้า
เป็นช่วงเวลาที่ลำไส้เล็กดูดซึมสารอาหาร ดังนั้นจึงควรกินอาหารเช้า เพราะอาหารที่กินช่วงนี้เมื่อย่อยแล้วจะถูกดูดซึมได้ง่าย การกินอาหารเช้าส่งผลดีต่อสุขภาพ


รู้อย่างนี้แล้ว ควรจะหลับนอนให้เป็นเวลา เพื่อสุขภาพที่ดี.

youtube